Mega Trend โดยกรณ์ จาติกวนิช

กรณ์ จาติกวนิช

โชคดีของผมมากที่ได้เข้าฟังสัมมนาพิเศษที่คุณกรณ์ จาติกวนิช มาแชร์มุมมองอนาคตประเทศไทยให้ฟังกันแบบใกล้ชิด จนรู้สึกว่าถ้าเก็บไว้รู้คนเดียวคงไม่ดีแน่ อยากให้พวกคุณได้รู้ไว้ด้วยเหมือนกัน

วันนั้นคุณกรณ์ พูดถึง Mega Trend 4 ข้อ ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย และมีผลกับทุกๆคน ทั้งในแง่ดีและแง่ลบ (ไม่เกี่ยวกับการเมืองนะครับ) แต่เกี่ยวข้องตรงๆกับคนทำค้าขาย ลองมาดูเป็นข้อๆกันนะ

1. เทคโนโลยีพลิกโลก

Disruptive Technology เป็นเทรนด์ที่จะมากระทบพวกเราทุกคน มาเปลี่ยนสิ่งที่เราคุ้นเคย มา(บังคับ)ให้เราต้องปรับตัวตามให้ทัน ลองสังเกตุอากงอาม่าสมัยนี้สิ พวกท่านปรับตัวมาเล่น ipad กันหมดแล้ว หรือทีวียังมีคนดูกันอยู่ไหม? รายการ The Mask Singer ที่ได้รับความนิยม เขาเผยแพร่ทางสื่อใหม่ (YouTube Live) และได้ผลตอบรับดีมากๆ ในระดับที่ช่องทีวีต่างๆต้องอิจฉา

ไม่ว่าคุณอยู่ในธุรกิจอะไร ให้คอยระวังให้ดีว่า วันดีคืนร้าย จะมีเทคโนโลยีอะไรมาเปลี่ยนสิ่งที่คุณทำอยู่ หรือทำให้มันล้าสมัยไปหรือเปล่า แล้วถ้ามี คุณจะทำยังไง? ร้านค้าจำนวนมากสมัยนี้ก็ขยับไปขายของออนไลน์ เพราะคนมาเดินซื้อของกันน้อยลง แต่ซื้อออนไลน์มากขึ้น แล้วร้านของคุณจะทำยังไงกับเทรนด์นี้ (ถ้ายังไม่ได้คิด ก็ต้องเริ่มคิดได้แล้วนะ)

2. สังคมแห่งการแบ่งปัน

Sharing Economy บริษัทแท็กซี่ที่ใหญ่ที่สุดในโลกไม่มีแท็กซี่เป็นของตัวเองสักคัน เครือข่ายห้องพักที่ใหญ่ที่สุดในโลกไม่มีห้องพักเป็นของตัวเองสักห้อง นั่นก็คือ Uber และ Airbnb

สังคมยุคนี้และยุคหน้าจะใช้ประโยชน์จาก Sharing Economy กันอย่างแพร่หลาย และกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งในหลักเศรษฐศาสตร์ถือเป็นการใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่าที่สุด และทำให้ราคาค่าบริการถึงมือผู้บริโภคในราคาที่ต่ำลงด้วย
แปลว่า “โอกาส” เปิดกว้างให้กับคนที่มีความคิดที่ดี แม้ไม่มีทรัพย์สิน ถ้ารู้จักใช้ประโยชน์จากแนวคิดนี้ คุณก็เป็นผู้ให้บริการ ... ได้ โดยไม่ต้องลงทุนสร้างหรือเป็นเจ้าของ ... นั่นเลย คนไทยเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์อยู่แล้ว แค่เราต้องเพิ่มความท้าทายให้กับตัวเองเท่านั้นว่าต้องคิดให้ไกลว่าที่เราเคยชิน ลองคิดว่าลูกค้าของเราไม่ใช่เฉพาะคน 70 ล้านคนในประเทศเท่านั้น

กรณ์ จาติกวนิช

3. สังคมเมืองเฟื่องฟู

Urbanization คนทั่วโลกในอนาคตจะอาศัยอยู่ในเมืองมากยิ่งขึ้น และคนเหล่านี้จะขยับตัวเป็นคนชั้นกลาง ที่มีกำลังซื้อและมีพฤติกรรมการบริโภคที่รู้จักเลือกสิ่งดีๆให้กับตัวเองมากขึ้น ยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อคุณภาพที่ดีขึ้นด้วย
ยกตัวอย่างที่ประเทศจีน อีกสัก 10 ปีข้างหน้า จะมีเมืองขนาดใหญ่ (ประชากรมากกว่า 1 ล้านคน) กว่า 300 เมือง ซึ่งเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจากปัจจุบัน ที่ชัดเจนที่สุดสำหรับประเทศไทยคือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเราจะเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ปี 2559 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 30 ล้านคน เป็นคนจีน 10 ล้านคน เทียบกับประเทศฝรั่งเศษที่เป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุด มีนักท่องเที่ยว 80 ล้านคนต่อปี

ที่ผมชอบที่สุดคือ มุมมองของคุณกรณ์ที่ว่า ประเทศฝรั่งเศษมีอะไรต่างจากประเทศไทยบ้าง?

ที่โดดเด่นที่สุดคือ ประเทศรอบข้างของฝรั่งเศษเป็นประเทศที่มีฐานะและพร้อมจะเดินทางมาเที่ยวประเทศฝรั่งเศษ (ซึ่งประเทศรอบข้างไทยยังไม่รวย) แต่อนาคตภาพนี้จะเปลี่ยนไปอย่างมาก ประเทศในแถบ AEC เป็นประเทศที่มีอัตรการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมากหลายปีติดต่อกัน รวมถึงจีนและอินเดีย ที่ก็ชอบจะมาเที่ยวเมืองไทยมากๆด้วยเช่นกัน
แปลว่าอีกไม่นาน จะมีลูกค้าเป้าหมายของเราที่อยากมาเที่ยวประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกมาก และมากกว่าฝรั่งเศษ ทำให้คุณกรณ์คาดการณ์ว่าอีกไม่นานประเทศไทยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่อปีเกิน 100 ล้านคน (มากกว่าจำนวนประชากรของเราเสียอีก)

แล้วคนไทยเตรียมพร้อมกันหรือยัง?

เรากำลังจะขายของ ขายอาหาร ให้บริการ กับลูกค้าอีกนับ 100 ล้านคนต่อปี
หลายคนฟัง/อ่านมาถึงตรงนี้ก็คิดแย้งในใจว่า คนจีนมาเที่ยวเมืองไทยไม่เห็นจะซื้ออะไรเลย แต่เมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่นในปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยว 20 ล้านคน และเป็นคนจีน 5 ล้านคน แต่คนจีนเหล่านี้จับจ่ายซื้อของเป็นมูลค่าเท่ากับนักท่องเที่ยวอีก 15 ล้านคนที่เหลือรวมกัน

ของที่คนจีนซื้อในญี่ปุ่น 3 อันดับแรกได้แก่ อาหาร, อุปกรณ์ไฟฟ้า และสินค้า OTOP
บ้านเราก็มีสินค้า OTOP เยอะนะ ถ้าจัดการให้ดีอีกหน่อยเราคงมี “เศรษฐี OTOP” เดินกันเต็มเมือง

4. สังคมผู้สูงอายุ

Aging Society เรื่องนี้เป็นข้อเสียมากกว่าเป็นโอกาส เพราะประเทศไทยมีสัดส่วนประชากรที่มีคนที่อยู่ในวัยทำงานน้อย เดิมเราเป็นสังคมที่มีคนทำงาน 8 คนต่อผู้สูงอายุ 1 คน ปัจจุบันลดลงมาเหลือ 4 ต่อ 1 และอนาคตอันใกล้จะกลายเป็น 2 ต่อ 1

พวกเราจะดูแลผู้สูงอายุกันไหวไหม?
หรือเราต้องเปิดรับแรงงานต่างชาติมากขึ้น (มากกว่าที่เป็นอยู่เป็นเท่าตัว) ให้มีแรงงานเพียงพอกับความต้องการ
สิ่งนี้นับเป็นเรื่องท้าทายคนไทยทุกคน ต้องช่วยกันคิดและเตรียมตัว

คุณกรณ์ ได้บอกไว้ด้วยว่าได้เริ่มทำอะไรบางอย่างบ้างแล้วกับ Trend นี้ และกระตุ้นให้พวกเราที่ได้เข้าฟังวันนั้นกลับไปคิดว่าจะดำเนินธุรกิจกันอย่างไรในอนาคตให้สอดคล้องกับเทรนด์นี้ งานนี้ต้องขอขอบคุณ คุณทอม เครือโสภณ ที่จัดงานนี้ขึ้น และ Mr.Adrian มากที่ชวนผมไปฟัง

ร้านอาหารที่เห็นเทรนด์นี้แล้ว รู้แล้วว่าอีกหน่อยพวกคุณจะขายอาหารให้ลูกค้ามากขึ้นเป็น 100 ล้านคน ก็ลองเอาไปคิดดูว่าจะเตรียมตัวยังไงนะครับ

ท่านใดอ่านแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์อยากจะแชร์บทความนี้ก็เชิญนะครับ ไม่มีลิขสิทธิ์ใดๆ หวังว่าใครที่ได้อ่านแล้วจะได้ประโยชน์สูงสุด ผู้เขียนก็ดีใจแล้ว